วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรียนอย่างไรให้ประสบความสําเร็จ


เคล็ดลับเรียนและทำงานให้ประสบความสำเร็จ ต้องรู้จักตนเอง-พัฒนาอย่างไม่สิ้นสุด



"A smooth sea never made a skilled sailor." ทะเลที่สงบไม่สามารถที่จะสร้างนักเดินเรือที่เก่งได้ ผู้คนมากมายไขว่ขว้าหาหนทางที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ แต่ความสำเร็จนั้นไม่มีหนทางที่สำเร็จรูป

ไม่มีตำราไหนบอกได้ว่าทำอย่างไรถึงจะสำเร็จ ส่วนใหญ่ที่พบเห็นจะเป็นการแนะนำอะไรที่เป็นภาพกว้าง ๆ ความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องเฉพาะเจาะจง ขึ้นอยู่กับว่า คนคนนั้นต้องการอะไร

และนี่เป็นสาเหตุที่ว่าความสำเร็จนั้นไม่มีสูตรมาตรฐานตายตัว

เปรียบได้กับองค์กรว่าไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับการบริหาร ต้องเป็นการออกแบบเฉพาะเท่านั้น การที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานนั้นมีปัจจัยอยู่หลายประการ ซึ่งขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่เราต้องการจะไป ระยะเวลาและการพัฒนาของตนเอง ว่ามีความมุมานะแค่ไหน สัตย์ซื่อกับตนเองเท่าใด
หลาย ๆ คนเมื่อพบกับอุปสรรคคลื่นลมก็ล้มเลิก เปลี่ยนเป้าหมาย หรือหยุดไปกลางทาง ความสำเร็จอาจจะเปรียบได้กับการเดินเรือไปในมหาสมุทรเพื่อไขว่ขว้าหาสิ่งที่ต้องการ มีคลื่นลม มีอุปสรรค มีแรงต้านทั้งจากตนเองและคนรอบข้าง จึงไม่แปลกที่ความสำเร็จที่หอมหวานจะไม่ได้มาถึงทุก ๆ คน

หากตั้งเป้าหมายไว้ไกล แต่ไม่เตรียมสภาพให้พร้อมก็เหมือนกับการนำเรือเก่าหรือผุไปออกทะเล เมื่อเจอคลื่นลมเรือก็แตกหรือล่มได้

สิ่งสำคัญอย่างแรกที่ต้องมีคือการตั้ง เป้าหมายก่อนว่าทิศทางใดที่เราตั้งใจจะไป เพราะถ้าเรายังไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร ส่วนที่เหลือคงไม่ต้องพูดถึง วันนี้เราชัดเจนหรือยังและชัดเจนมากแค่ไหน เราอาจจะต้องมานั่งทบทวนตัวเองดูว่าเราอยากที่จะเห็นอนาคตของตนเองเป็นอะไร เก่งอะไรและประสบความสำเร็จในแบบไหน

ความสำเร็จในชีวิตคือสิ่งที่จะต้อง กลั่นออกมาจากความต้องการจริง ๆ เป็น passion ควรจะมีทั้งเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ไม่ยาวนานเกินไปมีการวัดผลเป็นระยะ ๆ และมีการทบทวนแผนตลอดระยะทาง ไม่ว่าจะเป็นการปรับแผน ไม่ว่าจะเพิ่มหรือจะลดถ้าเราทำอะไรโดยที่ไม่เคยมาทบทวนแผนงานของเรา อาจจะทำให้เราหลุดจากทิศทาง ไปไม่ตรงเป้าหมาย

ซึ่งการทบทวนตลอดก็เปรียบได้กับการที่เรามีเข็มทิศคอยทบทวนทิศทาง มีการเตือนตัวเองให้คอยระวังถึงเป้าหมายอยู่ตลอดเวลา ไม่หลงไปในจุดที่ไม่ใช่ แต่คำถามสำคัญยังคงต้องย้ำชัดกับตนเองก่อนว่าในวันนี้เราได้สำรวจตัวเองดีแล้วหรือยัง ต้องมองย้อนกลับไปว่า เรามีความพร้อมแค่ไหน ความเป็นไปได้ด้านความรู้ ดีพอหรือไม่




   รู้จักตัวเองให้ดีก่อน ถ้าเราเปรียบความสำเร็จเป็นจุดหมายปลายทางของการเดินเรือที่ยาวไกล แน่นอนว่านักเดินเรือก็ต้องทำได้หลายอย่าง ยามสงบก็ควบคุมทิศทางเรือ ในบางเวลาก็ต้องซ่อมแซมและบำรุงเรือ สิ่งเหล่านี้นักเดินเรือแต่ละคนต้องสรรหาความรู้ความชำนาญที่เหมาะสมและพอดีกับทิศทางที่จะไป


ฉะนั้นเมื่อเรามีเป้าหมายก็ต้องรู้จัก และรับรู้ในจุดเด่น และจุดด้อยของตนเองด้วย เริ่มด้วยการสำรวจตนเอง โดยในขั้นนี้ต้องยอมรับกับตัวเองจริง ๆ ไม่หลอกตัวเองเพื่อที่จะหาออกมาให้ได้ว่าจากวันนี้จนถึงเป้าหมายที่เราวางไว้ เรายังขาดอะไรบ้าง ความสามารถอะไร คุณลักษณะแบบใดที่ต้องการและต้องถูกเติมเต็ม อะไรที่เราทำอยู่ตอนนี้แล้วไม่ได้ไปตอบโจทย์ของอนาคตข้างหน้า

อะไรที่ควรหยุดอะไรที่ต้องไปเรียนรู้เพิ่ม ใครที่เราต้องไปสร้างพันธมิตร ใครที่จะเป็นเพื่อนคู่คิดที่ไว้ใจได้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบและเราอาจจะไม่สามารถพัฒนาความสามารถทุก ๆ อย่างที่เราขาด ถ้าไม่ได้ จริง ๆ สามารถที่จะหาเพื่อนหรือคนที่จะเป็นพันธมิตรกับเราเพื่อคอยส่งเสริมและ ช่วยเหลือได้หรือไม่ หรือถ้าเราเป็นผู้นำขององค์กรก็ควรจะต้องหาคนมาช่วยในส่วนที่เราขาดเพื่อที่จะเติมเต็มความสามารถตรงนั้น

ถ้าเรามีทัศนคติว่าไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ เราก็จะสามารถพัฒนาต่อไปได้เรื่อย ๆ เมื่อเรารู้และยอมรับ (feel) ว่าเราเป็นอย่างไรขาด ตรงไหน จนนำไปสู่การคิดและพัฒนา (think) และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม (act) จนออกมาเป็นลักษณะเฉพาะและคุณสมบัติที่จะไปสอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้ได้

หลายคนพยายามทำหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าอบรม การอ่านหนังสือประเภท how to หรือหลายสิ่งหลายอย่างโดยลืมมองไปว่าวันนี้เราสำรวจตัวเองดีหรือยัง สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ช่วยหรือรับประกันว่าจะทำให้พวกเขาทำงานได้บรรลุเป้าหมายหรือประสบความสำเร็จในการทำงานได้เลย การมีเป้าหมายที่ดีนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ หากปราศจากการวางแผนและพัฒนาตนเองที่ยอดเยี่ยม

ซึ่งนั่นหมายความว่าเป้าหมายที่ดีต้องมีการผลักดันและสามารถบรรลุเป้าหมายออกมาให้ได้ผ่านการลงมือทำจริง ๆ ด้วย ไม่ว่าใครก็สามารถฝันได้ ไม่ว่าคนไหนก็สามารถคิดถึงเป้าหมายที่ดีที่ยอดเยี่ยมได้ แต่จะมีซักกี่คนที่สามารถลงมือปฏิบัติได้อย่างจริงจัง และมั่นคงกับเป้าหมายนั้นได้อย่างไม่หวั่นไหว ไม่ไขว้เขว หรือซวนเซไปตามแรงต้านของอุปสรรคและแรงต้านของโลกที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน

หลาย ๆ ปัญหาอาจจะเกิดจากการที่ตัวเราเองไม่สามารถหรืออาจไม่ใส่ใจถึงศักยภาพของตัวเราเอง ณ ปัจจุบันว่าสามารถรองรับเป้าหมายได้หรือไม่ เปรียบเสมือนคนที่เอาแต่ฝันแต่ไม่ยอมฝึกฝน ไม่ยอมลำบาก ไม่ยอมลงมือให้เป็นชิ้นเป็นอัน

"รู้เขาแต่ไม่รู้เรา เปลี่ยนร้อยครั้งผลก็เหมือนเดิมร้อยครั้ง"

ดังนั้น เราสามารถพัฒนาประสิทธิภาพตนเองเพื่อไปถึงเป้าหมายได้โดยมีแง่คิด ง่าย ๆ 4 วิธีดังนี้

1.โดยการสะสมเพิ่มพูนความรู้ การบรรลุความสำเร็จในแต่ละครั้งช่วยให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้นเรื่อย ๆ และนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่เราต้องมีทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาวในเป้าหมายที่ต้องการประสบความสำเร็จ ถ้าไม่มีอะไรให้เห็นผลในระยะสั้นเลยอาจจะทำให้เราเหนื่อยล้า หรือหยุดกลางทางได้

2.โดยการสังเกตการณ์ เมื่อเราเห็นใครบางคนที่คล้ายคลึงกับเราประสบความสำเร็จ เราสามารถทำได้เช่นกัน อาจจะเริ่มศึกษา เริ่มมองดูว่าอะไรเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนคนนั้นประสบความสำเร็จ เราจะพัฒนาตัวเองได้อย่างไร อะไรที่เราสามารถนำมาปรับใช้กับเป้าหมายของเราได้บ้าง

3.โดยทัศนคติ ทัศนคติที่ดีจะช่วยให้เราเกิดความเชื่อในความสามารถของตนเองมากขึ้น ในขณะที่ทัศนคติที่ไม่ดีจะเป็นตัวทำลายความเชื่อนั้น ไม่มีใครที่เก่งหรือเป็นทุกอย่างมาตั้งแต่เกิด ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และไม่มีใครที่ไม่พยายาม ไม่ลงมือ ไม่ทดลอง ไม่ฝึกฝนแล้วจะประสบความสำเร็จ หรือที่บางคนเรียกว่า คนที่ไม่เคยล้มคือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย

หลาย ๆ ครั้งเราอาจจะพลาด อาจจะลองแล้วไม่ใช่ไม่ถูกจุด แต่เราจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเพื่อเป็นบทเรียนที่เราจะไปเพิ่มไปเติมในอนาคตเพื่อไม่ให้ลงที่เดิมอีก

4.จากการสนับสนุนของผู้อื่นที่เชื่อมั่นในตัวเรา การมีพันธมิตรที่ดี เพื่อนร่วมงานที่ดีทำให้เรามีความเชื่อมั่นและมีเพื่อนคู่คิด มีคนที่คอยมาช่วยมอง ช่วยแนะ ช่วยให้ข้อมูลป้อนกลับ (feedback) เพื่อช่วยให้เราไม่พลาดในสิ่งที่บางครั้งเราอาจจะมองไม่เห็น

      
      สุดท้ายอยากจะขอฝากแง่คิดสั้น ๆ ให้กลับไปขบคิดไปตกผลึกว่าเราจะฝึกฝนตัวเองให้ปฏิบัติงานให้ไปถึงเป้าหมายได้อย่างไร หลาย ๆ ครั้งสิ่งที่ทำให้เราพลาดได้มากที่สุดคือเราไม่รู้จักตัวเองดีพอ หรือเราไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น หลาย ๆ คนไม่ยอมรับว่าเรามีจุดเด่นจุดด้อยอะไร สุดท้ายไม่สามารถพัฒนาและแก้ไขได้ตรงจุดจึงไม่สามารถบรรลุผลได้

      ซึ่งตรงจุดนี้อาจจะไปหาแบบทดสอบเพื่อการประเมินผลเพื่อที่จะให้รู้จักตนเองดีขึ้น และสามารถไปทำแผนพัฒนาตนเองเพื่อเป้าหมายแห่งความสำเร็จต่อไป เพราะการไม่รู้จักตนเองที่ดีพอ แค่คิดจะเริ่มก็พลาด ตั้งแต่ออกเดินทางแล้ว

โทษของยาเสพย์ติด





โทษและพิษภัยของสารเสพย์ติด

                                     
.....เนื่องด้วยพิษภัยหรือโทษของสารเสพติดที่เกิดแก่ผู้หลงผิดไปเสพสารเหล่านี้เข้า ซึ่งเป็นโทษที่มองไม่เห็นชัด เปรียบเสมือนเป็นฆาตกรเงียบ ที่ทำลายชีวิตบุคคลเหล่านั้นลงไปทุกวัน ก่อปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสุขภาพ ก่อความเสื่อมโทรมให้แก่สังคมและบ้านเมืองอย่างร้ายแรง เพราะสารเสพย์ติดทุกประเภทที่มีฤทธิ์เป็นอันตรายต่อร่างกายในระบบประสาท สมอง ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการของร่างกายและชีวิตมนุษย์ การติดสารเสพติดเหล่านั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นแก่ร่างกายเลย แต่กลับจะเกิดโรคและพิษร้ายต่างๆ จนอาจทำให้เสียชีวิต หรือ เกิดโทษและอันตรายต่อครอบครัว เพื่อนบ้าน สังคม และชุมชนต่างๆ ต่อไปได้อีกมาก
.....
โทษทางร่างกาย และจิตใจ

1. สารเสพติดจะให้โทษโดยทำให้การปฏิบัติหน้าที่ ของอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเสื่อมโทรม พิษภัยของสารเสพย์ติดจะทำลายประสาท สมอง ทำให้สมรรถภาพเสื่อมลง มีอารมณ์ จิตใจไม่ปกติ เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น วิตกกังวล เลื่อนลอยหรือฟุ้งซ่าน ทำงานไม่ได้ อยู่ในภาวะมึนเมาตลอดเวลา อาจเป็นโรคจิตได้ง่าย
2. ด้านบุคลิกภาพจะเสียหมด ขาดความสนใจในตนเองทั้งความประพฤติความสะอาดและสติสัมปชัญญะ มีอากัปกิริยาแปลกๆ เปลี่ยนไปจากเดิม
3. สภาพร่างกายของผู้เสพจะอ่อนเพลีย ซูบซีด หมดเรี่ยวแรง ขาดความกระปรี้กระเปร่าและเกียจคร้าน เฉื่อยชา เพราะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ปล่อยเนื้อ ปล่อยตัวสกปรก ความเคลื่อนไหวของร่างกายและกล้ามเนื้อต่างๆ ผิดปกติ
4. ทำลายสุขภาพของผู้ติดสารเสพติดให้ทรุดโทรมทุกขณะ เพราะระบบอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายถูกพิษยาทำให้เสื่อมลง น้ำหนักตัวลด ผิวคล้ำซีด เลือดจางผอมลงทุกวัน
5. เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย เพราะความต้านทานโรคน้อยกว่าปกติ ทำให้เกิดโรคหรือเจ็บไข้ได้ง่าย และเมื่อเกิดแล้วจะมีความรุนแรงมาก รักษาหายได้ยาก
6. อาจประสบอุบัติเหตุได้ง่าย สาเหตุเพราะระบบการควบคุมกล้ามเนื้อและประสาทบกพร่อง 
ใจลอย ทำงานด้วยความประมาท และเสี่ยงต่ออุบัติเหตุตลอดเวลา
7. เกิดโทษที่รุนแรงมาก คือ จะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ถึงขั้นอาละวาด เมื่อหิวยาเสพติดและหายาไม่ทัน เริ่มด้วยอาการนอนไม่หลับ น้ำตาไหล เหงื่อออก ท้องเดิน อาเจียน กล้ามเนื้อกระตุก กระวนกระวาย และในที่สุดจะมีอาการเหมือนคนบ้า เป็นบ่อเกิดแห่งอาชญากรรม
.....
โทษพิษภัยต่อครอบครัว
1. ความรับผิดชอบต่อครอบครัว และญาติพี่น้องจะหมดสิ้นไป ไม่สนใจที่จะดูแลครอบครัว
2. ทำให้สูญเสียทรัพย์สิน เงินทอง ที่จะต้องหามาซื้อสารเสพติด จนจะไม่มีใช้จ่ายอย่างอื่น และต้องเสียเงินรักษาตัวเอง 
3. ทำงานไม่ได้ขาดหลักประกันของครอบครัว และนายจ้างหมดความไว้วางใจ
4. สูญเสียสมรรถภาพในการหาเลี้ยงครอบครัว นำความหายนะมาสู่ครอบครัวและญาติพี่น้อง



     ผู้ที่ติดสารเสพติดนอกจากจะเป็นผู้ที่มีความรู้สึกว่าตนเองด้อยโอกาสทางสังคมแล้ว ยังอาจมีพฤติกรรมนำไปสู่ปัญหาด้านต่างๆ แก่สังคมได้ เพราะ
1. ก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรม และอุบัติเหตุอันตรายต่างๆ ต่อตนเองและผู้อื่นได้ง่ายตลอดจนเป็นปัญหาของโรคบางอย่าง เช่น โรคเอดส์
2. ถ่วงความก้าวหน้าของชุมชน สังคม โดยเป็นภาระต่อส่วนรวม ที่ประชาชนต้องเสียภาษีส่วนหนึ่งมาใช้ในการปราบปรามบำบัดผู้ที่ติดสารเสพติด
3. สูญเสียแรงงานโดยไร้ประโยชน์บั่นทอนประสิทธิภาพ ของผลผลิต ทำให้รายได้ของชาติในส่วนรวมกระทบกระเทือน และเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจของชาติ
4. เนื่องจากสภาพเป็นคนอมโรคมีความประพฤติและบุคลิกลักษณะ เสื่อมจนเป็นที่รังเกียจ
ของสังคม ทำให้เป็นคนไร้สติในวงสังคม โอกาสที่จะประกอบกิจที่ผิดศีลธรรมเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งเสพย์ติด เช่น พูดปด ขโมย หรือกลายเป็นอาชญากร เพื่อแสวงหาเงินซื้อสารเสพติดสิ่งเหล่านี้ล้วนทำลายอนาคตทำลายชื่อเสียงของตนเองและวงศ์ตระกูล
.....โทษที่ก่อให้เกิดกับส่วนรวมและประเทศชาติ
รัฐบาลต้องสูญเสียกำลังคน และงบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาล เพื่อใช้ในการป้องกันปราบปรามและบำบัดรักษาผู้ติดสารเสพติด ทำให้ต้องสูญเสียทรัพยากรบุคคลอันมีค่า เกิดความไม่สงบสุขของบ้านเมือง ความมั่นคงของประเทศชาติถูกกระทบกระเทือน ประชาชนเดือนร้อนเพราะเหตุอาชญากรรม ประเทศชาติต้องสูญเสียกำลังของชาติอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะผู้ติดสารเสพติดเป็นเยาวชน


การป้องกันการติดยาเสพติด

                                                     

การป้องกันตนเอง                                    
1. ควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกวิธี และเหมาะสมกับการเจ็บป่วย
2. ไม่ทดลองเสพสิ่งเสพติดทุกชนิด หรือเสพสิ่งที่รู้ว่ามีภัย เพราะติดง่าย เลิกยาก และมี
อันตรายต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ
3. การคบเพื่อนควรเลือกคบเพื่อนที่ดี หลีกเลี่ยงเพื่อนที่ชอบชักจูงไปในทางเสื่อมเสีย
4. ควรรู้จักใช้ความคิด และใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหา กรณีที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
ด้วยตนเอง ควรปรึกษา พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ หรือญาติผู้ใหญ่ที่สนิทและไว้วางใจมาช่วยแก้ไขปัญหา
5. รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

การป้องกันสำหรับครอบครัว
1. แนะนำตักเตือนให้ความรู้ แก่สมาชิกในครอบครัวให้เกิดความตระหนักถึงโทษ พิษภัย
ของยาเสพติด
2. สอดส่องดูแลสมาชิกในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าติดยาให้รีบนำไปบำบัดรักษา
ทันที
3. กรณีบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วย ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง ควรไปปรึกษาแพทย์
4. พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ควรประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีของลูก และเป็นที่ปรึกษาแก่ ลูก และ
สมาชิกในครอบครัวได้
5. พ่อแม่ ควรให้ความรัก ความอบอุ่น การดูแลเอาใจใส่ในการอบรมเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดกับลูก

พิษของยาเสพติดจะแตกต่างกันไปดังนี้
1พิษของยาบ้า และยาอีจะคล้ายคลึงกัน ส่วนยาเคนั้น จะแตกต่างออกไป อย่างไรก็ดีข้อมูล เรื่องของยาอีและยาเค ยังมีจำกัด
2การใช้โดยการฉีด ทำให้เกิดการติดเชื้อ การอักเสบบริเวณที่ฉีด และเป็นหนทาง ติดโรคเอดส์ได้
3ในกรณีที่ใช้ยาบ้าในขนาดสูง ในระยะเฉียบพลันจะทำให้ตัวร้อน เหมือนเป็นไข้ เหงื่อแตกพลั่ก ปากแห้ง ปวดศีรษะ ผิวหนังซีด ตาพร่า มึนงง หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันเลือดสูงฉับพลัน ตัวสั่น ควบคุมร่างกายไม่ได้ ชัก หมดสติ ในบางรายอาจเสียชีวิต จากเส้นเลือด ในสมองแตก หัวใจวาย การชัก หรือตัวร้อนจัด
4ถ้าหากใช้ยาต่อเนื่อง เป็นเวลานาน ยาบ้าทำให้เกิด ความผิดปกติทางจิต คล้ายกับคนบ้า ชนิดหวาดระแวง (Paranoid) และอาจก่อความรุนแรง หรืออาชญากรรมได้ ร่างกายจะทรุดโทรม อ่อนแอ เนื่องจากขาดอาหา รและขาดการพักผ่อน ทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย เช่น โรคติดเชื้อ ในบางครั้ง ผู้ที่ใช้ยาบ้า อาจจะทำงานหนักเกิน จนร่างกายรับไม่ไหว เกิดการบาดเจ็บหรือทุพลภาพได้
5ยาอีมีพิษเฉียบพลัน คล้ายยาบ้ารวม ได้แก่ เกิดความปรวนแปร ทางจิตอารมณ เช่น วิตกกังวลรุนแรง ซึมเศร้า ความคิดหวาดระแวง และที่สำคัญคือ ประสาทหลอน อาการพิษ ทางกายได้แก่ กล้ามเนื้อเกร็งตัว คลื่นไส้ ตาพร่า เป็นลม หนาวสั่น เหงื่อแตก
6จากผลการทดลองกับสัตว์ ปรากฏว่าทั้งยาบ้า และยาอี ทำลายเซลประสาทบางชนิด ทำให้สมองเสื่อมอย่างถาวร และเกิดความบกพร่อง ในการทำงาน ของร่างกายส่วนที่สมอง บริเวณนั้นควบคุม เช่น อารมณ์ การนอนหลับ การหลับนอน (ความสามารถทางเพศ) การรับรู้ความเจ็บปวด เป็นต้น
7นอกจากนั้นยังเชื่อว่า ยาบ้าและยาอี มีผลพิษต่อตัวอ่อนด้วย โดยพบว่าทารก ที่คลอดจากมารดา ที่ติดยาบ้า มักมีความผิดปกติ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
8ยาเคมีพิษเฉียบพลัน กระตุ้นทำให้จิตอารมณ์วุ่นวาย และเกิดภาวะประสาทหลอน และเมื่อใช้ขนาดสูง จะทำให้หมดสติ

10 ประการห่างไกลยาเสพย์ติด


หลักในการหลีกเลี่ยงและป้องกันการติดสิ่งเสพย์ติด 

1. เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ครู และคนอื่นๆ ที่น่านับถือและหวังดี (จริงๆ) 

2. เมื่อมีปัญหาควรปรึกษาครอบครัว ครู หรือผู้ใหญ่ที่น่านับถือ ไม่ควรเก็บปัญหานั้นไว้หรือหาทางลืมปัญหาโดยใช้สิ่งเสพย์ติดช่วยหรือ ใช้เพื่อเป็นการประชด 

3. หลีกเลี่ยงให้ห่างไกลจากผู้ติดสิ่งเสพย์ติด หรือผู้จำหน่ายสิ่งเสพย์ติด 

4. ถ้าพบคนกำลังเสพสิ่งเสพย์ติด หรือจำหน่ายให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ 

5. ศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโทษของสิ่งเสพย์ติด เพื่อจะได้ป้องกันตัวและผู้ใกล้ชิดให้ห่างจากสิ่งเสพย์ติด 

6. ต้องไม่ให้ความร่วมมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับเพื่อนที่ติดสิ่งเสพย์ติด เช่นไม่ให้ยืมเงิน 

7. ไม่หลงเชื่อคำชักชวนโฆษณา หรือคำแนะนำใดๆ หรือแสดงความเก่งกล้าเกี่ยวกับการเสพสิ่งเสพย์ติด 

8. ไม่ใช้ยาอันตรายทุกชนิดโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ และควรใช้ยาที่แพทย์แนะนำให้ตามขนาดที่แพทย์สั่งไว้เท่านั้น 

9. หากสงสัยว่าตนเองจะติดสิ่งเสพย์ติดต้องรีบแจ้งให้ผู้ใหญ่ทราบ 

10. ยึดมั่นในหลักธรรมของศาสนา หรือคำสอนของศาสนาทุกศาสนา เพราะทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายให้บุคคลประพฤติแต่สิ่งดีงามและละเว้นความชั่ว

ธรรมทาน


มหาธัมมาภิสมัย ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า


พุทธชยันตี
พระวิจิตรธรรมาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) เรียบเรียง

มหาธัมมาภิสมัย
๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ในฐานะที่ประเทศไทย มีพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ รัฐบาลไทย ได้ประกาศให้ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี อย่างยิ่งใหญ่ ตลอดทั้งปี เนื่องจากเป็นปีที่พระพุทธศาสนามีอายุครบ ๒๖๐๐ ปี โดยการเฉลิมฉลองให้เน้นหนักด้านการปฏิบัติบูชาและการมีส่วนร่วมของประชาชน ตั้งแต่ระดับครอบครัว ไปจนถึงระดับชาติ มุ่งให้ประชาชนได้นำหลักธรรมไปปฏิบัติ ตามวิถีชาวพุทธอย่างแท้จริง อันจะทำให้เกิดความมั่นคงแห่งสถาบันชาติพระศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างยั่งยืน
ในระดับนานาชาติ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก รัฐบาลได้เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุม วิสาขบูชาโลก มีผู้นำชาวพุทธเข้าร่วมประชุมกว่า ๘๕ ประเทศทั่วโลก
นับว่า เป็นการประชุมในระดับนานาชาติที่มีชาวพุทธ ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน เข้าร่วมประชุมมากที่สุดครั้งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
การฉลองพุทธชยันตี ถูกกำหนดขึ้นเพื่อน้อมระลึกถึงเหตุการณ์ที่สำคัญเกี่ยวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น วันประสูติ ตรัสรู้ และ ปรินิพพาน ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา หรือ ใช้เรียกการจัดกิจกรรม ในปีที่ครบรอบวาระสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น ฉลองครบรอบ ๒๕ พุทธศตวรรษ หรือ ฉลองครบรอบ ๒๖ พุทธศตวรรษ
วันฉลองที่สำคัญนี้เรียกตามสากลว่า Sambuddha Jayanti ๒๖๐๐ ตรงกับภาษาไทย ว่า “สัมพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี” โดยอาจใช้ชื่อต่างกันไปบ้าง ในแต่ละประเทศ เช่น ศรีสัมพุทธชยันตี สัมพุทธชยันตี พุทธชยันตี
เฉพาะประเทศไทย มหาเถรสมาคม ได้มีมติให้ เรียกงานฉลองนี้ว่า “พุทธชยันตี” ๒๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
แม้จะแตกต่างกันเรื่องการใช้คำพูด แต่รวมความแล้ว ก็คือ การจัดกิจกรรมในปีที่ครบรอบวาระเหตุการณ์ที่สำคัญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
ซึ่งเมื่อวาระสำคัญเวียนมาบรรจบอีกพุทธศตวรรษหนึ่ง ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา จึงจัดเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ ดังที่เคยฉลองครบรอบ ๒๕ พุทธศตวรรษ หรือ พ.ศ. ๒๕๐๐ มาแล้ว ในขณะนั้น ถือกันว่า พระพุทธศาสนามีอายุถึงกึ่งพุทธกาล โดยในครั้งนั้น กำหนดนับวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานเป็นวันแห่งการฉลองพุทธชยันตี
แต่ในครั้งนี้ กำหนดนับวันที่พระบรมศาสดาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเวียนมาบรรจบครบรอบ ๒๖ พุทธศตวรรษ ๒๖๐๐ ปี กำหนดให้เป็นวันฉลองพุทธชยันตี
พุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี
พระพุทธศาสนาก้าวสู่พุทธศตวรรษที่ ๒๖
การจัดงานฉลองพุทธชยันตี ก็เพื่อน้อมระลึกถึงชัยชนะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีต่อหมู่มารและกิเลสทั้งปวง อย่างสิ้นเชิง เพราะพระองค์ ทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา เมื่อ ๒๖๐๐ ปี ล่วงแล้ว ทำให้พระนามว่า “สัมมาสัมพุทธะ” ปรากฏขึ้นในโลก เป็นจุดเริ่มต้นแห่งคำสอนของพระพุทธศาสนา อันเกิดจากปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทำให้พุทธศาสนิกชน ได้มีพระธรรมเป็นหลักแห่งการดำเนินชีวิต
ที่ประชุมมหาเถรสมาคม ณ พระตำหนักสมเด็จฯ วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร โดยมีเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบให้มีการดำเนินการจัดงานฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ให้เรียกชื่อว่า “งานฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า” ให้เสนอเรื่องไปยังรัฐบาลเป็นเจ้าภาพ ในการดำเนินการจัดงาน พร้อมทั้งให้มีการตั้งคณะกรรมการอำนวยการ โดยมีมหาเถรสมาคม เป็นที่ปรึกษา มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้ของบประมาณในการดำเนินการสนับสนุนจากรัฐบาล
ซึ่งคณะกรรมการที่รัฐบาลแต่งตั้งขึ้น ได้กำหนดกรอบแนวทางในการจัดกิจกรรม และผู้รับผิดชอบเป็น ๓ ด้าน ประกอบด้วย
๑. ด้านการศึกษา การเผยแผ่ และการปฏิบัติพุทธบูชา มุ่งเน้นส่งเสริมการปฏิบัติธรรม สำหรับพุทธศาสนิกชน ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน และการมีส่วนร่วมขององค์กรทุกภาคส่วน โดยมี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เป็นผู้รับผิดชอบ และเป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรม
๒. ด้านวิชาการ เน้นการประชุมสัมมนาทางวิชาการเกี่ยวกับหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา โดยให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นหน่วยงานหลักดำเนินการ
๓. ด้านศิลปวัฒนธรรม มอบให้กระทรวงวัฒนธรรม เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ
และ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทำหน้าที่เป็นหน่วยงานในการประสานจัดกิจกรรม และการประชาสัมพันธ์ และเผยแผ่
การจัดกิจกรรมทั้งหมด มุ่งเน้นให้เกิดการศึกษา การเผยแผ่ การปฏิบัติตามหลักธรรม และการมีส่วนร่วมขององค์กรทุกภาคส่วน พร้อมทั้งประสานการจัดกิจกรรมประชุมสัมมนาทางวิชาการ เพื่อเป็นเวทีถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้เรียนรู้ และเข้าใจหลักธรรม ในพระพุทธศาสนามากขึ้น ทั้งในระดับประเทศ และนานาชาติ
ในระดับนานาชาติ คาดว่า จะมีชาวพุทธจากทั่วโลกกว่า ๕,๐๐๐ รูป/คน ซึ่งประกอบด้วยผู้นำทางการเมือง ประมุขสงฆ์ ผู้นำองค์กรชาวพุทธ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป จาก ๘๕ ประเทศทั่วโลกเดินทางมาร่วมงานเฉลิมฉลองพุทธชยันตี และร่วมประชุมวิสาขบูชาโลกครั้งยิ่งใหญ่ โดยมีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน ซึ่งจะเป็นการสร้างความร่วมมืออันดีระหว่างองค์กรชาวพุทธตั้งแต่ระดับประชาคมอาเซียน จนถึงนานาชาติ เพื่อนำพระพุทธศาสนาก้าวไปสู่พุทธศตวรรษที่ ๒๖ ตามนโยบายของคณะสงฆ์และรัฐบาลไทย
สำหรับ หัวข้อหลักที่ใช้ในการจัดงานพุทธชยันตีปีนี้ คือ “พระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติ”
และ การประชุมสัมมนาทางวิชาการระดับนานาชาตินั้น ประกอบด้วยหัวข้อที่สำคัญ ดังนี้
    ๑. พุทธิปัญญาและความปรองดอง
    ๒. พุทธิปัญญาและสิ่งแวดล้อม
    ๓. พุทธิปัญญาและการปรับเปลี่ยนชีวิตมนุษย์
พุทธชยันตี
๒๕๐๐ ปี แห่งการปรินิพพาน
รัฐบาลไทยประกาศให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
การฉลอง พุทธชยันตี เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๐ ที่ผ่านมาถือกันว่า พระพุทธศาสนามีอายุถึงกึ่ง พุทธกาล จึงจัดงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ กึ่งพุทธกาลอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อน้อมระลึกถึงการปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และ รัฐบาลไทยได้ถือโอกาสในวาระที่สำคัญนี้ ประกาศให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
การฉลองพุทธชยันตี ในครั้งนั้น เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางของชาวพุทธนานาชาติ ทำให้ชาวพุทธตื่นตัวไปทั่วโลก และหันมาให้ความสำคัญกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง
ประเทศศรีลังกา ก็ได้ถือเอาการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒๕ พุทธศตวรรษ เป็นการฉลองเอกราช ภายหลังได้รับเอกราชจากประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๑
ดร. อัมเบดการ์ ผู้นำคนจันฑาล ซึ่งเป็นชนชั้นต่ำในอินเดีย ก็ได้ถือโอกาสประกาศอิสรภาพจากการถูกกดขี่ในระบบวรรณะ ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ในประเทศอินเดีย ให้กลับสู่แผ่นดินเกิดอีกครั้ง ภายหลังจากที่ถูกกองทัพมุสลิมเติร์กทำลายไปอย่างราบคราบ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๗ ประมาณ ๑๓๐๐ - ๑๗๐๐ ปี หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน โดย ดร.อัมเบดการ์ได้นำชาวอินเดียประมาณ ๒ แสนคนประกาศเลิกนับถือศาสนาฮินดู ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒๕ พุทธศตวรรษ
ในขณะที่ รัฐบาลประเทศอินเดีย ได้สร้างสวนสาธารณะพุทธชยันตีไว้เป็นอนุสรณ์ ที่กรุงนิวเดลี
ส่วน การเฉลิมฉลองระดับนานาชาติ ในครั้งนั้น รัฐบาลพม่าได้เป็นเจ้าภาพในการจัด “ฉัฏฐสังคีติ” คือ การสังคายนาพระไตรปิฎกนานาชาติ โดยนำพระไตรปิฎกแต่ละประเทศมาเคียบเคียงความถูกต้อง ซึ่งประเทศพม่านับเป็นการสังคายนาครั้งที่ ๖ และได้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกบาลีและคัมภีร์ทั้งหลายขึ้นเป็นจำนวนมาก มีพระสงฆ์ไทย และพระสงฆ์จากทั่วโลกเข้าร่วมสังคายนาพระไตรปิฎก ในครั้งนั้น
คณะสงฆ์ไทยนั้น มีเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช วัดสระเกศ ครั้งเป็นพระมหาเกี่ยว อุปเสโณ และ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ครั้งเป็นพระมหาช่วง วรปุญโญ วัดปากน้ำ เป็นต้น เป็นตัวแทนคณะสงฆ์ไทย เข้าร่วมประชุมสังคายนาฉัฏฐสังคีตินานาชาติ นับเป็นการเปิดวิสัยทัศน์ของพระสงฆ์ไทยไปสู่นานาประเทศ เป็นครั้งแรกจนก้าวไปสู่การเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ในปัจจุบัน
สำหรับรัฐบาลไทย ในขณะนั้น จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒๕ พุทธศตวรรษ ด้วยการประกาศให้ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ให้วันพระหรือวันธรรมสวนะ เป็นวันหยุดราชการ (ตามประกาศสำนักคณะรัฐมนตรี ฉบับที่ ๙ ลงวันที่ ๑ ตุลาคม๒๔๙๙) สร้างพุทธมณฑลเป็นอนุสรณ์สถาน สร้างพระพุทธรูปปางลีลาเป็นพุทธสัญลักษณ์แห่งพุทธศตวรรษที่ ๒๕ และ มีการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกภาษาไทยครบชุด เป็นฉบับแรก เป็นต้น
พุทธชยันตี
๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้
ประเทศไทย ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก
พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เริ่มต้นเมื่อฉลองพุทธชยันตี ๒๕๐๐ ปี พร้อมกับรัฐบาลไทย ประกาศให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ครั้นถึง พุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี พุทธมณฑลได้กลายเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก
ภายหลังจากตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เผยแผ่พระธรรมคำสอน ไปยังประชาชนทุกชั้นวรรณะ ในชมพูทวีป แม้พระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว แต่พระธรรมคำสอนของพระองค์ ได้แพร่ขยายไปยังนานาประเทศทั่วโลก พระพุทธศาสนาได้กลายเป็นศาสนาที่สำคัญของโลกศาสนาหนึ่ง จนกระทั่งองค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันที่พระพุทธองค์ ประสูติ ตรัสรู้ และ ปรินิพพาน ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญขององค์การสหประชาชาติและเป็นวันแห่งการฉลองทั่วโลก โดยประกาศให้วันดังกล่าว เป็นวันหยุดของสหประชาชาติ
เรียกว่าวัน “United Nations Day of Vesak”
คณะกรรมการจัดงานวิสาขบูชาโลก ๑๔ ประเทศ ได้มีมติให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จัดประชุมวิสาขบูชานานาชาติ ครั้งที่ ๙ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากการประชุมคณะกรรมการฯ ที่ประชุมได้หารือกัน ถึงประเทศที่จะเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมวิสาขบูชานานาชาติ ๒๕๕๕ ซึ่งถือว่า เป็นปีที่มีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง อีกวาระหนึ่ง เนื่องจากเป็นปีที่ครบรอบ ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
โดยในที่ประชุม ได้มีประเทศที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน ๒ ประเทศ คือ ประเทศศรีลังกา และ ประเทศไทย
ที่ประชุมมีมติให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เนื่องจากในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ นอกจากจะเป็นการถวายเป็นพุทธบูชาฉลอง ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้แล้ว ยังเป็นปีมหามงคลของปวงชนชาวไทย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๕ พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖๐ พรรษา
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่ขับเคลื่อนงานพระพุทธศาสนา และสนองงานคณะสงฆ์ ได้ประสานการจัดงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในโอกาสที่พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้น อำนวยประโยชน์สุขแก่มวลมนุษยชาติ ครบ ๒๖๐๐ ปี โดยเน้นบูรณาการการศึกษา ปฏิบัติ และเผยแผ่หลักธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงสั่งสอนไปสู่ประชาชนทุกเพศ ทุกวัย อย่างกว้างขวาง รวมถึงกำหนดแนวทางในการจัดกิจกรรมเนื่องในวันวิสาขบูชา อย่างถูกต้อง เหมาะสม และสอดคล้องกับมติมหาเถรสมาคม โดยได้สรุปประเด็นความสำคัญของวาระดังกล่าวเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณา
ที่ประชุมมหาเถรสมาคมได้มีมติเห็นชอบให้ ปี พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นปีแห่งการฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ให้จัดกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนาเป็นพิเศษ ทั้ง ๓ วัน คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และ วันอาสาฬหบูชา
สำหรับที่พุทธมณฑล มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่จากคณะสงฆ์ไทย คณะสงฆ์นานาชาติ และผู้นำชาวพุทธทั่วโลกกว่า ๘๕ ประเทศ รวมทั้งมีการวางศิลาฤกษ์อาคารศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก เพื่อเป็นการประกาศเริ่มต้นการดำเนินงานที่ประเทศไทย ได้รับการยอมรับให้เป็น “ศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก” พร้อมกันนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมอื่นๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการฉลองครบรอบ ๒๖ พุทธศตวรรษ มีการบูรณะวัดไทยพุทธคยา วัดไทยแห่งแรกในประเทศอินเดีย บูรณะลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า โดย มหาเถรสมาคม รัฐบาลไทย มูลนิธิไทยพึ่งไทย ร่วมกับประชาชนชาวไทย ซึ่งมีเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช รับเป็นประธาน นับเป็นการบูรณะลุมพินีสถาน ครั้งที่ ๓ หลังจากพระเจ้าอโศกมหาราช (ราว พ.ศ. ๒๕๐) และองค์การสหประชาชาติ (พ.ศ. ๒๕๑๓) เคยบูรณะไว้ มีการมอบรางวัลผู้นำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในระดับนานาชาติ แด่ ผู้นำชาวพุทธทั่วโลกกว่า ๘๕ ประเทศ เป็นครั้งแรก มีการจัดตั้งยุวฑูตพุทธชยันตี ตามโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ หนึ่งใน ๘ ส่วน ที่ตระกูลศากยราชได้รับแบ่งปันเมื่อคราวถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พุทธศักราชที่ ๑ ซึ่งขุดพบที่กรุงกบิลพัสดุ์ ประเทศอินเดีย และรัชกาลที่ ๕ โปรดฯ ให้บรรจุไว้บนบรมบรรพต (ภูเขาทอง) ออกไปให้ประชาชนสักการะ ตามเกาะรัตนโกสินทร์ และอัญเชิญไปประดิษฐานตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ เช่น ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ และ ภาคกลางซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์นับแต่ครั้งที่รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดฯ ให้บรรจุไว้บนบรมบรรพต (ภูเขาทอง) เป็นเวลา ๑๑๓ ปี เพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชา มีการรณรงค์ให้ครู นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ทำสมาธิ ๑ วัน ๑ นาที ก่อนเริ่มบทเรียน หรือทำงาน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา มีการจัดทำพระไตรปิฎกสากล การจัดทำตำราทางพระพุทธศาสนา และสิ่งของที่ระลึกต่าง ๆ มากมาย
และ ในโอกาสที่พระพุทธศาสนาก้าวเข้าสู่พุทธศตวรรษ ๒๖ อันเป็นพุทธศตวรรษแห่งความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี มีการรณรงค์ให้เยาวชนและประชาชนนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาเป็นสื่อในการเผยแผ่พระธรรมคำสอน เช่น จัดประกวดภาพยนต์สั้น jariyatam short flim ในหัวข้อ “พุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้” ทั้งระดับนักเรียน นักศึกษา และประชาชน และ โครงการสร้าง “พระนักเขียน” เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าแห่งพุทธศตวรรษที่ ๒๖ โดยมุ่งเน้นให้พระสงฆ์ได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาใช้ในการเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา
นอกจากนี้ ที่ประชุมมหาเถรสมาคม ยังขอให้มีการจัดทำธงตราสัญลักษณ์พุทธชยันตีแจกไปยังทุกวัดทั่วประเทศ และวัดในต่างประเทศทั่วโลกอีกด้วย
ธงธรรมจักร
สัญลักษณ์แห่งพุทธชยันตี
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้เสนอรูปแบบธงสัญลักษณ์งานฉลองพุทธชยันตี ตามคำแนะนำของมหาเถรสมาคม เพื่อเผยแพร่ให้คณะสงฆ์หน่วยงานราชการ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป ได้ใช้ประดับตกแต่งสถานที่ราชการ วัด และเคหสถาน ซึ่งขนาดของธงเท่ากับธงธรรมจักรทั่วไป พื้นสีเหลือง มีรูปใบโพธิ์รอบธรรมจักร ในวงธรรมจักรเป็นสีธงฉัพพรรณรังสี รูปธรรมจักรมีซี่ จำนวน ๑๒ ซี่ ซึ่งหมายถึง ญาณ ๓ ในอริยสัจ ๔ มีชื่อภาษาไทยด้านล่างใบโพธิ์ ส่วนชื่อภาษาอังกฤษอยู่รอบวงธรรมจักร หากใช้ประดับในต่างประเทศ หรือสถานที่ระดับสากลสามารถสลับระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษก็ได้ โดยแบบธงสัญลักษณ์ได้ผ่านความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคม
สำหรับความหมายของธงสัญลักษณ์นั้น
ใบโพธิ์ หมายถึง การตรัสรู้แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สีเขียวแห่งใบโพธิ์  หมายถึง ความเจริญงอกงามไพบูลย์แห่งพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ธรรมจักรกลางผืนธงฉัพพรรณรังสี หมายถึง รัศมีแห่งพระธรรมได้ฉายแสงเหนือผืนแผ่นดินไทย และส่องประกายไปยังนานาประเทศ จนประเทศไทยได้กลายเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก
กนกลายไทยชูช่อฟ้า หมายถึง ผืนแผ่นดินไทยรุ่งเรืองด้วยอารยธรรมแห่งชนชาติไทย ได้เชิดชูพระธรรมคำสั่งสอนของพระพระพุทธเจ้า ให้อำนวยประโยชน์สุขแก่มวลมนุษยชาติ และจะดำรงอยู่คู่ผืนแผ่นดินไทยตราบชั่วกัลปาวสาน
ชัยชนะและอิสรภาพ
คือ ความหมายแห่ง “พุทธชยันตี”
โดยรากศัพท์ คำว่า “พุทธชยันตี” มาจากคำ ๒ คำ คือ “พุทธ” แปลว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับคำว่า “ชยันตี” มาจากคำว่า “ชย” แปลว่า ชัยชนะ ซึ่งเมื่อนำคำทั้ง ๒ คำ มารวมกัน ก็ได้รูปคำใหม่ว่า “พุทธชยันตี” อันหมายถึง ชัยชนะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีต่อหมู่มาร และกิเลสทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง ปลดเปลื้องจากกิเลสเครื่องร้อยรัด เป็นอิสรภาพจากพันธนาการทั้งปวง อันทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อุบัติขึ้นในโลก
“พุทธชยันตี” จึงหมายถึง การตรัสรู้ และการบังเกิดขึ้น ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนำมาซึ่งชัยชนะและอิสรภาพแก่มวลมนุษยชาติ
เพราะเหตุแห่งชัยชนะต่อกิเลสทั้งปวงของพระพุทธองค์ ในปัจจุบัน คำว่า “พุทธชยันตี” ยังถูกนำไปใช้ในความหมายแห่งชัยชนะและความเป็นอิสรภาพของชาวพุทธอีกด้วย เช่น
การต่อสู่เพื่ออิสรภาพจนได้รับเอกราชจากอังกฤษของประเทศศรีลังกา ถือว่าเป็นชัยชนะของประชาชน ทำให้ชาวพุทธในประเทศศรีลังกา เป็นอิสรภาพจากการถูกปิดกั้นทางศาสนา มีสิทธิในการประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นครั้งแรก ชาวศรีลังกาจึงจัดพิธีเฉลิงฉลองพุทธชยันตีอย่างยิ่งใหญ่
และ ในประเทศอินเดีย การประกาศชัยชนะต่อการกดขี่ในระบบชนชั้นวรรณะ ของ ดร.อัมเบดการ์ โดยประกาศไม่นับถือศาสนาฮินดู และนำประชาชนกว่า ๒ แสนคน ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ ด้วยการเฉลิมฉลองพุทธชยันตี
การคำนวณนับปีพุทธชยันตี
จาก ๒๕๐๐ ปี แห่งปรินิพพาน
ถึง ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้
วิธีกำหนดนับปีทางพระพุทธศาสนานั้น มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง คือ นับวันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน เป็น พ.ศ ๑ และ ครบรอบวันปรินิพพานเวียนมาบรรจบอีกครั้ง จึงนับเป็น พ.ศ. ๑ ประเทศอินเดีย ศรีลังกานั้น คำนวณนับ พ.ศ. เร็วกว่าไทย ๑ ปี เพราะเริ่มนับ พ.ศ. ๑ จากวันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ขณะประเทศไทยครบรอบหนึ่งปี นับแต่วันปรินิพพาน จึงนับเป็น พ.ศ. ๑
ประเทศไทยจึงฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี ช้ากว่าประเทศอินเดีย และ ประเทศศรีลังกา ๑ ปี
วิธีคำนวณนับ พ.ศ. แบบไทยนั้น ให้เคียบเคียงวิธีนับปีเกิด เช่น อายุ ๗๙ ปีเต็ม ย่างเข้า ๘๐ ยังให้นับเป็นอายุ ๗๙ ปี จนกว่าจะถึงครบรอบวันเกิด จึงให้นับเป็นอายุ ๘๐ ปีเต็ม และย่างเข้า ๘๑
อย่างไรก็ตาม ในวาระสำคัญเนื่องในมหาธัมมาภิสมัยพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้นั้น หากยึดถือตามหลักการคำนวณปีพุทธศักราชแบบไทย ก็อยู่ในช่วงระหว่าง วิสาขบูชาปี ๒๕๕๔ – วิสาขบูชาปี ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ในวันวิสาขบูชาปี ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา ตรงกับวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ครบ ๒๕๙๙ ปีเต็ม และย่างเข้าสู่ปีที่ ๒๖๐๐ และพระพุทธศาสนาครบ ๒๖๐๐ ปีเต็ม ในวันวิสาขบูชา ตรงกับวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๕
โดยเริ่มนับพุทธศักราชที่ ๑ จากปีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน จนถึงปัจจุบัน นับได้ ๒๕๕๕ ปี บวกด้วย ๔๕ อันเป็นจำนวนพรรษาที่พระพุทธองค์ได้ดำเนินพุทธกิจ ภายหลังตรัสรู้จวบจนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
พ.ศ. ๒๕๕๕ + ๔๕ พรรษา = ๒๖๐๐
ในประเทศต่างๆ ที่มีชาวพุทธเข้มแข็ง ได้ประกาศให้มีการเฉลิมฉลองในวาระนี้เป็นเวลา ๓ ปี (๒๕๕๓-๒๕๕๕) ดังเช่น ในประเทศศรีลังกา พม่า อินเดีย เป็นต้น ได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองอย่างตื่นตัว และยิ่งใหญ่ แม้ที่สำนักงานใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา ก็มีการจัดงานฉลองใหญ่ในช่วงวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา เช่นกัน
รัฐบาลไทยได้ประกาศให้มีการเฉลิมฉลองใหญ่ตลอดปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ นี้ อย่างเป็นทางการโดยสั่งการและสนับสนุนให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการและดำเนินการจัดงานอย่างจริงจัง ทั้งในระดับประเทศ และระดับนานาชาติ เน้นหนักด้านการปฏิบัติบูชา และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนโดยให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการปฏิบัติธรรมในหมู่พุทธศาสนิกชน มุ่งให้มีการฟื้นฟูวิถีชาวพุทธตั้งแต่ระดับครอบครัว และชุมชนอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และยั่งยืน อันจะเป็นการเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และเกิดความมั่นคงต่อประเทศชาติบ้านเมือง
ที่มา....สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

รถแต่ง


รถแต่ง



รถแต่ง เป็นชื่อเรียก ของรถยนต์ที่ได้รับการเปลี่ยน ดัดแปลง (โมดิฟาย) หรือปรับปรุงชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ รูปลักษณ์ภายนอก ภายใน ประสิทธิภาพ นอกเหนือจากมาตรฐานโรงงาน ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน วัตถุประสงค์ และทุนทรัพย์ และในปัจจุบันมีโรงงานผู้ผลิตส่วนรถยนต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอยู่หลายยี่ห้อ หลายรายการ ทั้งของไทย ของนำเข้า และจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์เอง ผู้แต่งรถสามารถดัดแปลงตกแต่งได้หลายรูปแบบ อาจจะตกแต่งปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ หรือ ดัดแปลงจนไม่เหลือเค้าเดิม ชิ้นส่วนที่นิยมแต่ง เปลี่ยน ดัดแปลง เช่น ล้อแม็กนีเซียม เครื่องยนต์ ตัวถัง อุปกรณ์ภายใน ภายนอก
การขับรถแต่งส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับการแข่งรถบนท้องถนน ซึ่งทำให้เกิดภาพพจน์เสียต่อสังคมตามมา จากการใช้ความเร็วที่สูงเกินความเร็วจำกัดบนท้องถนน รวมถึงเสียงดังที่เกิดจากเครื่องยนต์ที่ดัดแปลงที่สูงและรบกวนแก่ผู้อยู่อาศัย

ประเภทของการแต่งรถ

การแต่งรถนั้นมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อความสวยงาม ประสิทธิภาพ การใช้งาน ประเภทของการแต่งที่นิยมกัน








สปอร์ต 
เป็นการแต่งที่เพิ่มสมรรถนะ และความสวยงาม แต่ยังคงรูปแบบการใช้งานในเมืองอยู่ ในบางกรณีมีการเพิ่มสมรรถนะจนสามารถนำไปใช้ในการแข่งขันได้ด้วย

วีไอพี 
เป็นการแต่งรถที่เน้นความหรูหรา และความสะดวกสบายเป็นหลัก เช่น บุหนังภายใน ชุบทองโลโก้ ตกแต่งด้วยลายไม้ภายในห้องโดยสาร

โลว์ไรเดอร์ 
เป็นรูปแบบการแต่งรถในลักษณะลดความสูงของรถให้เตี้ยที่สุด (ในภาษาชาวบ้านอาจเรียกว่า "เตี้ยเลียพื้น") โดยการดัดแปลงช่วงล่าง นิยมใช้ช่วงล่างแบบไฮโดรลิก เป็นที่นิยมในอเมริกา และญี่ปุ่น โดยในอเมริกานั้น จะนิยมแต่งรถอเมริกันคลาสสิก ลักษณะ แบน เตี้ย กว้าง ยาว ในลักษณะนี้ เช่น เชฟโรเลต อิมพาล่า กรณีในของประเทศไทยและญี่ปุ่น มักจะใช้รถญี่ปุ่น อาจจะเป็นรถเก๋งหรือรถกระบะก็ได้

จีที หรือ ทัวร์ริงคาร์ 
เป็นการแต่งที่เน้นหนักไปทางสมรรถนะ เช่น รถแข่งทางเรียบ

คันทรี หรือแรลลี 
เป็นการแต่งรถที่นำไปใช้งานในลักษณะแบบ ลุยฝุ่น ป่า เขา ส่วนมากรถที่ใช้แต่งเป็นรถกระบะ ค่อนข้างเป็นที่นิยมในประเทศไทย (เกินครึ่งของผู้ใช้รถในประเทศเป็นรถกระบะ)

มัสเซิลคาร์  
เป็นรถที่นิยมมากในอเมริกาในช่วงยุคทศวรรษที่ 1960-1980 จะนิยมแต่งเรื่องประสิทธิภาพเครื่องยนต์ ส่วนใหญ่เป็นระบบขับเคลื่อนแบบ FR (เครื่องวางหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง) ซึ่งในปัจจุบันก็เริ่มกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง รถมัสเซิลคาร์ที่โด่งดังตลอดกาล เช่น ฟอร์ด มัสแตงพอนทีแอค จีทีโอ (ในไทยเรียก พอนเทียค) , เชฟโรเลต คอร์เวตต์ (รุ่นเก่า)

ฮ็อตร็อด 
รถแต่งประเภทนี้ค่อนข้างหายากหรือไม่มีเลยในประเทศไทย แต่เป็นที่นิยมในหมู่คนเล่นรถในอเมริกา เป็นการแต่งในลักษณ์ใช้รถเก่าในยุคทศวรรษ 1950 หรืออาจเก่ากว่านั้น มาดัดแปลงประสิทธิ์ภาพให้ทันสมัยขึ้น ทั้งในด้านความสวยงาม และเทคโนโลยี แต่ในขณะเดียวกันก็แทบจะไม่มีการดัดแปลงรูปร่างตัวถังให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม



http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87#.E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B9.80.E0.B8.A0.E0.B8.97.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.81.E0.B8.95.E0.B9.88.E0.B8.87.E0.B8.A3.E0.B8.96

วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556


ประโยชน์ของข้าว


ประโยชน์ของข้าว
เพื่อนๆคะ เราทานข้าวเป็นอาหารหลัก แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่าข้าวมีประโยชน์อย่างไรบ้าง วันนี้เล็กมีโอกาสได้อ่านบทความเกี่ยวกับข้าวค่ะ มีเนื้อหาดีมากๆเลยค่ะ เล็กเลยเอามาฝากเพื่อนๆด้วย แล้วเพื่อนๆรู้ไหมค่ะว่า  ข้าวมีวิตามิน แร่ธาตุและสารอาหาร ที่สำคัญต่อร่างกายรวม 20 กว่าชนิดเลยทีเดียวนะคะ แต่กว่าที่จะเป็นข้าวมาให้เราทานกัน ต้องผ่านกรรมวิธีสีเพื่อเอาเปลือกข้าวออก และข้าวที่มีคุณค่าทางอาหารจะต้องผ่านการสีข้าวเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนะคะ ก็คือสีเอาแค่เปลือกข้าวออก เหลือจมูกข้าว และรำข้าวไว้ค่ะ เพราะจมูกข้าวและรำข้าวนี้ (เยื่อหุ้มเมล็ดข้าว) และข้าวที่มีคุณค่าทางอาหาร ก็คือ ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมื้อ ข้าวนึ่งก่อนสี ข้าวเสริมวิตามินค่ะ วันนี้เล็กจะพาเพื่อนไปรู้จักข้าวกล้องกันค่ะ ว่ามีประโยชน์อย่างไรค่ะ
                        ข้าวกล้องนี้ในสมัยก่อนนะค่ะเขาจะเรียกกันว่าข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดงค่ะ และที่เขาเรียกกันว่าข้าวซ้อมมือก็เพราะว่า ในสมัยก่อนเขาจะนิยมตำข้าวทานเองค่ะ โดยจะใช้ครกกระเดื่องตำ จึงเป็นที่มาของชื่อข้าวซ้อมมือค่ะ ในข้าวกล้องนะค่ะจะมีสารอาหารประเภทโปรตีนอยู่ถึง 7-12 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวค่ะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับพันธุ์ข้าว และการขัดสีข้าวด้วยนะค่ะ นอกจากสารอาหารประเภทโปรตีนแล้ว ข้าวกล้องยังมีวิตามินต่างๆมากมายเลยทีเดียวค่ะ เช่น
 -   วิตามินบีรวม ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย แขน ขา ไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำ ให้เจริญอาหาร
-    วิตามินบี 1 ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา
-    วิตามินบี 2 ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก ริมฝีปากบวม ร่างกายอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ตาสู้แสงไม่ได้
-    แร่ธาตุ ฟอสฟอรัส ซึ่งจะช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
-    แร่ธาตุ แคลเซียม จะช่วยลดอาการเป็นตะคริว
-   แร่ธาตุทองแดง จะช่วยในการสร้างเม็ดเลือด
-   แร่ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจางและช่วยในการสร้างเม็ดเลือด
                  นอกจากในข้าวกล้องจะมีสารอาหารประเภทโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุประเภทต่างๆแล้วนะค่ะ ในข้าวกล้องก็ยังมีไขมันด้วยค่ะ เพื่อนอ่านแล้วอย่าพึงตกใจ เพราะทานข้าวแล้วจะกลัวอ้วนนะค่ะ เพราะน้ำมันในข้าวกล้อง เป็นน้ำมันที่ไม่มีโคเลสเตอรอล แต่ในข้าวกล้องจะมีวิตามินอีก 1 ชนิดค่ะ วิตามินชนิดนั้นก็คือ ไนอะซินค่ะ ไนอะซินเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อผิวหนัง ลิ้น การทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ และยังจำเป็นต่อระบบประสาทด้วยนะค่ะ เล็กเลยหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่จะเกิดจากการขาดไนอะซินมาให้เพื่อนๆได้ศึกษากันด้วยค่ะ โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซินนร้ก็คือ โรคความจำเสื่อม ท้องเสีย และอาการโรคผิวหนังหยาบและอักเสบแดง แล้วถ้าเพื่อนๆทานข้าวกล้องเหมือนอย่างเล็กนะค่ะ เพื่อนก็จะได้กากอาหารค่ะ ซึ่งจะทำให้เพื่อนๆท้องไม่ผูก และยังช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วยค่ะ
   
                                      

ประโยชน์ของนม


ประโยชน์ของนม

     
 นมเป็นแหล่งสำคัญของแคลเซียมและโปรตีน ช่วยให้กระดูกเจริญเติบโตและแข็งแรง นมมีความสำคัญกับเด็กมากโดยเฉพาะเด็กในช่วงก่อนเข้าวัยรุ่นและช่วงวัยรุ่น เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายเจริญเติบโตเร็วมาก
แคลเซียมช่วยให้เด็กมีความหนาแน่นของมวลกระดูกมากขึ้น พอเข้าสู่วัยรุ่น จะช่วยให้กระดูกยาวขึ้น ถ้าในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว ร่างกายเรามีการสะสมไว้เพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะแล้วยังช่วยในเรื่องของฟันอีกด้วย แต่ถ้าใครมีไม่เพียงพอ จะทำให้เสี่ยงต่อโรคกระดูกเปราะได้ง่าย
ความ จริง ประโยชน์ของแคลเซียมในน้ำนมไม่ได้มีแค่นั้น ยังทำหน้าที่ยืดหดของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ระบบประสาทไวต่อสิ่งเร้ามากขึ้น ช่วยให้เลือดแข็งตัว
งานวิจัยระยะหลังออกมามากว่า แคลเซียมช่วยลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งขณะนี้ในหลายประเทศทั้งสหรัฐและยุโรป ศึกษาวิจัยกันมาก โดยใช้นมพร่องมันเนยให้กับเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในโปรแกรมลดน้ำหนัก โดยพบว่ากลุ่มเด็กที่ดื่มนมพร่องมันเนยสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ ได้ดื่มนม ทำให้เข้าใจว่าแคลเซียมมีผลต่อการใช้ไขมัน ซึ่งอยู่ในขั้นศึกษาอยู่ แต่พอสรุปได้ว่านมยังช่วยในเรื่องลดน้ำหนักอีกด้วย
ทั้งนี้ มีข้อมูลระบุว่า เด็กไทยตัวเตี้ยกว่ามาตรฐานสากลค่อนข้างเยอะ ถ้าอยากให้เด็กไทยเติบโตเต็มศักยภาพ พ่อแม่ผู้ปกครองควรให้ลูกหลานดื่มนมอย่างเพียงพอ เพราะนมมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับเด็ก โดยเฉพาะนมจืด เพราะไม่เป็นปัญหาในเรื่องอ้วนและฟันผุ
จากภาพรวมในรายงานของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร ระบุด้วยว่าคนไทยดื่มนม 12.3 ลิตรต่อคนต่อปี เทียบแล้วตกวันละ 33 ม.ล.หรือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ถือว่าค่อนข้างน้อย
บางคนไม่ชอบดื่มนม เพราะดื่มแล้วไม่สบายท้อง ท้องเสีย จริงๆ แล้วคนอายุ 6 ขวบ ขึ้นไป น้ำย่อยที่จะย่อยน้ำตาลแลกโตสในนม ซึ่งอยู่ในทางเดินอาหารจะน้อยหรือแทบจะไม่มีแล้ว น้ำตาลจะถูกแบคทีเรียใช้ สร้างเป็นกรดขึ้นมา เกิดเป็นแก๊ส ทำให้ท้องเสีย ซึ่งเป็นปัญหาของคนที่ไม่ได้ดื่มนมต่อเนื่อง แต่คนที่ดื่มนมต่อเนื่องจะมีการปรับตัว ทำให้ไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการ
ดังนั้น คนที่ดื่มนมแล้วมีอาการ จะมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนสูง จึงควรปรับมาดื่มนมหลังอาหารหรือดื่มปริมาณน้อยแต่ดื่มหลายๆ ครั้ง ให้ได้วันละ 1 แก้ว เพื่อไปชะลอไม่ให้กระดูกพรุนเร็วขึ้นhttp://www.thaihealth.or.th/partner/blog/5265